หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Taylor Swift - Love Story

แผ่นดินไหว6.0 อันดามัน ไม่กระทบไทย

กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่าได้เกิดแผ่นดินไหว ขนาดความรุนแรง 6.0 ริคเตอร์ ที่หมู่เกาะอันดามัน ประเทศอินเดีย เบื้องต้นไม่มีรายงานส่งผลกระทบไทย...

สำนักแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา รายงานว่า เมื่อเวลา 06.09 น. วันที่ 19 มิ.ย. 53 เกิดแผ่นดินไหว หมู่เกาะอันดามัน ประเทศอินเดีย ขนาด 6.0 ริคเตอร์ ไม่มีผลกระทบกับประเทศไทย มีความลึกจากพื้นดิน 40 กิโลเมตร
ที่มา
http://www.thairath.co.th/content/region/90523

ความหมายของเทคโนโลยี

เทคโนโลยี (Technology) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือTech = Art ในภาษาอังกฤษ Logos = A study ofดังนั้น คำว่า เทคโนโลยี จึงหมายถึง A study of art ซึ่งได้มีผู้แปลความหมาย สรุป ได้ว่า เทคโนโลยี หมายถึง การนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาและปฏิบัติงาน อย่างเป็นระบบ โดยสามารถนำไปใช้ในสาขาต่าง ๆ กัน และเรียกชื่อไปตามสาขาที่ใช้ เช่น
- เทคโนโลยีการเกษตร
: การคิดค้นวิธีการเครื่องมือ ปัจจัยในการผลิต ทางการเกษตร
- เทคโนโลยีการคมนาคมขนส่ง
: การคิดค้นเกี่ยวกับยานพาหนะ การเดินทาง การขนส่ง
- เทคโนโลยีการแพทย์
: การคิดค้นการตรวจรักษาโรค การผลิตยา และเครื่องมือทางการแพทย์
- เทคโนโลยีชีวิตประจำวัน
: การประดิษฐ์เสื้อผ้า เครื่องใช้ในที่อยู่อาศัย อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
- เทคโนโลยีการสงคราม
: อาวุธนิวเคลียร์
- เทคโนโลยีการสื่อสาร
: การเก็บรวบรวมการค้นหา การส่งข้อมูลทั้ง ทางโทรเลข โทรศัพท์ วิทยุ คอมพิวเตอร์
- เทคโนโลยีการศึกษา
: วิธีการให้ความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับการวิธีการให้ การศึกษาสื่อการศึกษา และครุภัณฑ์ทางการ ศึกษา
สรุปเป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษา ก็คือ ศาสตร์ว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา การพัฒนา และการประยุกต์วัสดุ เครื่องมือ วิธีการ เพื่อนำมาใช้ในสถานการณ์การเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ของคนให้ดียิ่งขึ้น
2. นักเทคโนโลยี (Technologist) คือผู้นำเอาเทคโนโลยีมาใช้
3. ช่างเทคนิค (Technician) คือผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับการซ่อมเครื่องมือเพื่อให้เครื่องมือทำงานได้ดีที่สุด
ที่มา http://www.nrru.ac.th/preelearning/rungrot/page01004.asp

เทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา

การนำเอาเทคโนโลยีทางการศึกษาไปใช้ในกระบวนการเรียนการสอนนั้น เรามักจะพบ ว่าเมื่อสถานการณ์ของการใช้เปลี่ยนแปลงไป เช่น ชั้นเรียนที่ผู้เรียนเปลี่ยนไป หรือเวลาที่ต่างกัน สิ่งเหล่านี้ มีผลต่อประสิทธิภาพของวิธีการที่ผู้สอนนำไปใช้ในการเรียนการสอนทั้งสิ้น ในกรณีที่ใช้วิธีการนั้นต่อไป ซึ่งนับว่าเป็นการใช้เทคโนโลยี แต่ในกรณีที่ประสิทธิภาพลดลง ก็มีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงวิธีการนั้น ๆ หรืออาจต้องหาวิธีการใหม่ ๆ มาใช้ สิ่งใหม่ที่นำมาใช้หรือวิธีการที่ได้รับนำเอาการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพนี้เรียกว่า นวัตกรรม (Innovation)
นวัตกรรม = นว (ใหม่) + อัตตา (ตนเอง) + กรรม (การกระทำ)
ในการดำเนินกิจกรรมด้านต่าง ๆ มักจะเผชิญปัญหาต่าง ๆ มากมายมนุษย์จึงพยายามสร้างนวัตกรรมขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา เพื่อเปลี่ยนจากสภาพที่เคยเป็นอยู่ไปสู่สภาพที่อยากเป็น นวัตกรรมจึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับวงการต่าง ๆ เช่น นวัตกรรมทางการแพทย์ นวัตกรรมทางการเกษตร นวัตกรรมทางอุตสาหกรรม นวัตกรรมทางการบริหาร นวัตกรรมทางการประมง นวัตกรรมทางการสื่อสาร นวัตกรรมทางการศึกษา ฯลฯ เป็นต้นลักษณะของนวัตกรรม สิ่งที่ต้องจัดว่าเป็นนวัตกรรม ควรประกอบด้วยลักษณะ ดังนี้
1. จะต้องเป็นการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ (creative) และเป็นความคิดที่สามารถปฏิบัติได้ (Feasible ideas)
2. จะต้องสามารถนำไปใช้ได้ผลจริงจัง (practical application)
3. มีการแพร่ออกไปสู่ชุมชน (diffusion through)

ที่มา http://www.nrru.ac.th/preelearning/rungrot/page01006.asp

พัฒนาการทางเทคโนโลยีการศึกษา

ชาวกรีกโบราณ ได้ใช้วัสดุและวิธีการในการสอนประวัติศาสตร์ และหน้าที่พลเมือง ด้วย การแสดงละครเพื่อสร้างเจตคติทางจรรยาและการเมือง ใช้ดนตรีเพื่อสร้างอารมณ์ และยังได้ย้ำถึงความสำคัญของการศึกษานอกสถานที่ด้วย นอกจากนี้การสอนศิลปวิจักษ์ในสมัยนั้นได้ใช้รูปปั้น และงานแกะสลักช่วยสอน ซึ่งนับว่าเป็นการใช้ทัศนวัสดุในการสอนแทนการปาฐกถาอย่างเดียว
เพลโต นักปราชญ์ชาวกรีก ได้ย้ำถึงความสำคัญของคำพูดที่ใช้กันนั้นว่า เมื่อพูดไปแล้วอะไรเป็นความหมายที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนั้น จึงได้กระตุ้นให้ใช้วัตถุประกอบเพื่อช่วยให้เข้าใจได้ดีขึ้น
ฟรานซิส เบคอน (ค.ศ.1561-1626) สนับสนุนวิธีใหม่ ๆ แบบ Realism คือหันมายึดวัตถุและความคิด โดยเสนอแนะว่า การเรียนการสอนนั้น ควรให้ผู้เรียนได้รู้จักสังเกต พิจารณา เหตุผลในชีวิตจริง โดยครูเป็นผู้นำให้นักเรียนคิดหาวิธีแก้ปัญหาซึ่งจะต้องอาศัยการสังเกตพิจารณานั่นเอง ไม่ใช่ครูเป็นผู้บอกเสียทุกอย่าง
โจฮันน์ อะมอส คอมินิอุส (Johannes Amos Comenius ค.ศ.1592-1670) เป็นผู้ที่พยายามใช้วัตถุ สิ่งของช่วยในการสอนอย่างจริงจัง จนได้รับเกียรติว่าเป็นบิดาแห่งโสตทัศนศึกษา คอมินิอุสได้แต่งหนังสือสำคัญ ๆ ไว้มากมาย ที่สำคัญยิ่งคือ หนังสือ Obis Sensualium Pictus หรือ "โลกในรูปภาพ" ซึ่งพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1685 เป็นหนังสือที่ใช้รูปภาพประกอบบทเรียน ถึง 150 ภาพ ซึ่งนับว่าเป็นการใช้ทัศนวัสดุประกอบการเรียนเป็นครั้งแรก
ธอร์นไดค์ (thorndike) เป็นนักจิตวิทยาการศึกษาชาวอเมริกันที่ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางการศึกษาประกอบหลักการทางจิตวิทยา โดยได้ทดลองทางจิตวิทยาเกี่ยวกับ การตอบสนองของสัตว์และมนุษย์ เขาได้ออกแบบสื่อการสอน เพื่อให้ตอบสนองเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนแบบโปรแกรมจึงได้ชื่อว่า เป็นคนแรกที่ริเริ่มเทคโนโลยีการศึกษาแนวใหม่
บี เอฟ สกินเนอร์ (B.F.Skinner) เป็นผู้ใช้แนวความคิดใหม่ทางจิตวิทยาเกี่ยวกับสิ่งเร้าและผลตอบสนองโดยคำนึงถึงธรรมชาติของมนุษย์ เขาได้ทำการทดลองกับสัตว์โดยฝึกเป็นขั้น ๆ เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในการสอนแบบโปรแกรม และเป็นผู้ที่คิดเครื่องช่วยสอนได้เป็นผลสำเร็จเป็นคนแรก แนวคิดทางเทคโนโลยีการศึกษาปัจจุบัน ได้รากฐานมาจากแนวความคิดของสกินเนอร์เป็นส่วนมาก
สำหรับพัฒนาการทางเทคโนโลยีการศึกษาในประเทศไทยนั้น ได้มีการให้ความสำคัญต่อเทคโนโลยีการศึกษา ทั้งในด้านการจัดตั้งหน่วยงานด้านเทคโนโลยีการศึกษา ในหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ตลอดจนมีการเปิดการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยีการศึกษาระดับปริญญาตรี-โท-เอก ในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับ พ.ศ.2542 ที่เน้นความสำคัญของเทคโนโลยีการศึกษาเพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีนั่นเอง
ที่มา http://www.nrru.ac.th/preelearning/rungrot/page01007.asp

แนวโน้มของเทคโนโลยีการศึกษาของไทย


การนำเทคโนโลยีการศึกษามาใช้ในประเทศไทย จะมีทิศทางในการใช้ในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ 1 มีแนวโน้มในการนำเทคโนโลยีการศึกษามาใช้ในลักษณะต่อไปนี้ มีการใช้สื่อการ สอนเป็นรายบุคคลมากขึ้น เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังใช้ระบบการศึกษาทางไกลมากขึ้นในระดับที่สูงกว่าประถมศึกษา
2 การใช้สื่อการศึกษาที่ผลิตขึ้นจากท้องถิ่นอย่างเหมาะสมจะมีบทบาทสำคัญ ๆ ทั้งนี้เพราะงบประมาณที่จำกัด โดย เฉพาะประเภทที่ยากจน
3 การจัดองค์การและการบริหารงานจะออกมาในรูปเป็นกลุ่ม เพื่อการประหยัด งบประมาณ ใช้งบประมาณให้ คุ้มค่าที่สุด และมีประสิทธิผลที่สุด
4 การวางหน้าที่ของสายงานโดยเฉพาะประเทศไทย จะมีรูปแบบที่คล้าย ๆ กัน แต่ขยาดเล็กใหญ่ตามความ เหมาะสมของงานแต่ละแห่ง
5 การวิจัยทางด้านเทคโนโลยีทางการศึกษาและการหานวัตกรรมทางการศึกาาที่สามารถนำมาใช้ได้จริง ๆ เริ่มมีมากขึ้น
6 แหล่งทรัพยากรการเรียน โดยเฉพาะบุคลากรในชุมชน เริ่มให้ความสนใจและให้ความร่วมมือกับฝ่ายการศึกษามากขึ้น
7 ปัจจุบัน รัฐบาลไทยให้ความสำคัญต่อการศึกษา โดยเน้นการใช้สื่อการสอนและเทคโนโลยีเข้าช่วยแก้ปัญหาทั้งนี้ได้กำหนดให้เทคโนโลยีการศึกษาเป็นหมวดหนึ่งใน 9 หมวดมาตรา ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2542) ซึ่งเน้นว่า 1) ส่งเสริมสนับสนุนในการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีการศึกษาทุกรูปแบบ
2) พัฒนาบุคลากรในด้านความรู้ ทักษะ การใช้ เทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพ และประสิทธิภาพ
3) พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ และทักษะในการนำเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและหาความรู้ด้วยตนได้ตลอดชีวิต
4) ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการติดตามประเมินผล การใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาว่าคุ้มค่าและเหมาะสมกับกระบวนการเรียนรู้ของคนไทย
ที่มา http://www.nrru.ac.th/preelearning/rungrot/page01009.asp

ให้นักเรียนบอกความหมายของคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง"


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าพระราชหฤทัยในความเป็นไปของเมืองไทยและคนไทยอย่างลึกซึ้งและกว้างไกล ได้ทรงวางรากฐานในการพัฒนาชนบท และช่วยเหลือประชาชนให้สามารถพึ่งตนเองได้มีความ " พออยู่พอกิน" และมีความอิสระที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องติดยึดอยู่กับเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกาภิวัฒน์ ทรงวิเคราะห์ว่าหากประชาชนพึ่งตนเองได้แล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสริมสร้างประเทศชาติโดยส่วนรวมได้ในที่สุด พระราชดำรัสที่สะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์ในการสร้างความเข้มแข็งในตนเองของประชาชนและสามารถทำมาหากินให้พออยู่พอกินได้
ประการที่สำคัญของเศรษฐกิจพอเพียง
1. พอมีพอกิน ปลูกพืชสวนครัวไว้กินเองบ้าง ปลูกไม้ผลไว้หลังบ้าน 2-3 ต้น พอที่จะมีไว้กินเองในครัวเรือน เหลือจึงขายไป
2. พออยู่พอใช้ ทำให้บ้านน่าอยู่ ปราศจากสารเคมี กลิ่นเหม็น ใช้แต่ของที่เป็นธรรมชาติ (ใช้จุลินทรีย์ผสมน้ำถูพื้นบ้าน จะสะอาดกว่าใช้น้ำยาเคมี) รายจ่ายลดลง สุขภาพจะดีขึ้น (ประหยัดค่ารักษาพยาบาล)
3. พออกพอใจ เราต้องรู้จักพอ รู้จักประมาณตน ไม่ใคร่อยากใคร่มีเช่นผู้อื่น เพราะเราจะหลงติดกับวัตถุ ปัญญาจะไม่เกิด " การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง "
"เศรษฐกิจพอเพียง" จะสำเร็จได้ด้วย "ความพอดีของตน"

สามเหลี่ยมความรู้

เขียนโดย ศาสตราจารย์นายแพทย์ วิจารณ์ พานิชสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
ความรู้เป็นทรัพย์ ความรู้คือพลัง ความรู้เป็นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ คือคำกล่าวที่พบอยู่ดาษดื่นในปัจจุบัน
มีผู้กล่าวว่าความรู้ยังไม่สำคัญเท่าการเรียนรู้ เพราะความรู้เก่าได้ ล้าสมัยได้ และอาจใช้ไม่ได้ผลในบางสถานการณ์ แต่การเรียนรู้จะช่วยให้เราปรับเปลี่ยนชุดความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ รวมทั้งสามารถปรับความรู้ให้เหมาะสมต่อบริบทหรือสถานการณ์ได้ด้วย
ความรู้และการเรียนรู้ มองได้หลายเหลี่ยมมุม หรือหลายมิติ ในที่นี้จะเสนอการมองความรู้และการเรียนรู้เป็นสามมุม เรียกว่าสามเหลี่ยมความรู้

การจัดการความรู้ การวิจัย และนวัตกรรม ต่างก็เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรู้และการเรียนรู้ แต่เป็นความเกี่ยวข้องในต่างบริบท ต่างวัตถุประสงค์ ต่างจุดเน้น และต่างวิธีการ
การวิจัย เป็นการสร้างความรู้อย่างมีระบบระเบียบ พิสูจน์ซ้ำได้ มีความน่าเชื่อถือเชิงวิชาการ ความรู้ที่ค้นพบเน้นความเป็นสากล การวิจัยจึงเป็นมุมความรู้ในโลกวิชาการ สร้างความรู้ที่ชัดเจนจับต้องได้ (Explicit Knowledge)
นวัตกรรม (Innovation) เป็น กระบวนการนำเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลประโยชน์เชิงธุรกิจ หรือคุณ ค่าในรูปแบบอื่น เป็นกระบวนการที่ต่อยอดไปจากผลการวิจัยไปใส่มูลค่าและคุณค่า
การจัดการความรู้ เป็นกระบวนการที่มีการใช้และสร้างความรู้อยู่ด้วยกัน ความรู้ที่ใช้มีทั้งที่เฟ้นหามาจากภายนอกกลุ่มหรือองค์กร และที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างขึ้นใช้ภายในองค์กรผ่านการทำงานร่วมกัน เป้าหมาย คือ งานที่มีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น การจัดการความรู้จึงเน้นความรู้ที่แนบแน่นอยู่กับงาน เป็นความรู้ที่ใช้ผลิตผลงานหมุนเป็นความรู้ที่ยกระดับขึ้นจากการทำงาน และสมาชิกที่ร่วมกันจัดการความรู้ เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น
การวิจัยกับการจัดการการความรู้เป็นกระบวนการที่สวนทางกัน
การวิจัยเริ่มจากต้นไปหาปลาย การจัดการความรู้เน้นการเริ่มจากปลายมาหาต้น กล่าวคือ การวิจัยหรือคำถามวิจัยเริ่มจากช่องโหว่ของความรู้ ยังไม่รู้หรือรู้ไม่ชัดเจน เมื่อดำเนินการวิจัยได้ผลก็จะทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้น ความรู้เหล่านั้นทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเป็นความรู้ที่ชัดแจ้งจับต้องได้ (explicit knowledge) แต่การจัดการความรู้ส่วนใหญ่เริ่มจากความสำเร็จ ที่มักเป็นความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชม กลุ่มผู้ทำงานและได้รับความสำเร็จดังกล่าวถือเป็น “ผู้มีความรู้” ในลักษณะที่เป็นความรู้จากประสบการณ์ หรือความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (tacit knowledge) กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะอธิบายไม่ได้ว่าทำงานให้เกิดความสำเร็จได้อย่างไร ยิ่งจะให้เขียนออกมาเป็นความรู้ที่ชัดแจ้งจับต้องได้ ยิ่งทำไม่ได้ แต่ทำให้ดูได้ ทำงานให้สำเร็จมีผลสัมฤทธิ์สูงอย่างน่าชื่นชมได้
จะเห็นว่า การจัดการความรู้เริ่มจากความสำเร็จ นี่แสดงว่ากลุ่มพนักงานที่ร่วมกันสร้างความสำเร็จนั้น เป็นผู้มีความรู้ (ชนิดฝังอยู่ในคน) การจัดการความรู้เป็นการส่งเสริมให้คนเหล่านี้เข้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่ม ผู้ที่ต้องการทำงานแบบเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกัน ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ดีเยี่ยมบ้าง เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความรู้ชนิดที่ฝังลึกในคน และเมื่อทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ก็จะหาทางหมุนเกลียวความรู้ผ่านตัวเสริมพลังต่างๆ เช่น วงจร SECI, การหมุนความรู้ผ่านแดนต่างๆ, การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน “พื้นที่” หลากหลายรูปแบบ เป็นพลวัตเรื่อยไปไม่หยุดนิ่ง
นอกจากสวนทางกันแล้ว การวิจัยกับการจัดการความรู้ยังมีธรรมชาติที่ตรงกันข้ามในเรื่องของการ ดำเนินกิจกรรม การวิจัยเป็นกิจกรรมที่มีการเริ่มต้นและมีการสิ้นสุด แต่การจัดการความรู้เป็นกิจกรรมที่หมุนเป็นพลวัตเรื่อยไปไม่มีจุดจบ หรือ การสิ้นสุด
ที่จริง จะว่าการจัดการความรู้เริ่มจากความสำเร็จเท่านั้น น่าจะไม่ถูกต้องนัก การจัดการความรู้น่าจะเริ่มต้นจาก “สามเหลี่ยมแห่งการจัดการความรู้” ดังนี้


การจัดการความรู้ เน้นที่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (knowledge sharing) สำหรับให้แต่ละกลุ่ม / หน่วยงานย่อย เลือกและปรับเอาความรู้ไปใช้ในการทำงาน และสร้างความรู้หรือยกระดับความรู้ขึ้นจากการทำงาน การจัดการความรู้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าแต่ละหน่วยงานย่อยมีทั้งความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ และพร้อมที่จะให้พนักงานในหน่วยงานอื่นเข้ามาเรียนรู้ และในขณะเดียวกัน หน่วยงานย่อยนั้นก็มักจะมีปัญหาหรือยังทำงานไม่ได้ผลดีนักในบางเรื่อง และอยากเรียนรู้จากหน่วยงานอื่นภายในองค์กร หรือภายนอกองค์กร หากทุกหน่วยงานย่อยประกาศหรือเปิดเผยว่า ความสำเร็จของตนคืออะไร และ ปัญหาของตนคืออะไร เอาทั้ง 2 “มุม” ใส่ไว้ใน “ตะกร้า” หรือ “แผนที่” (map) ของความสำเร็จ และปัญหา ก็จะช่วยเปิดโอกาสของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน
เรามักจะคิดกันว่าการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่จริงจังเข้มข้น เกิดระหว่างหน่วยงานย่อยที่ทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ดี กับหน่วยงานที่ยังมีปัญหาในการทำงานเรื่องนั้น
แต่หนังสือ Learning to Fly บอกว่า ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้นในความเป็นจริงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ทรงพลังและมีคุณภาพจะเกิดระหว่างหน่วยงานที่มีความสำเร็จสูงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กับหน่วยงานที่ยังทำงานเรื่องเดียวกันนั้นได้ไม่ดีและเรื่องนั้นเป็น เรื่องใหญ่ตรงตามวิสัยทัศน์หรือความฝันของหน่วยงาน และตรงกับวิสัยทัศน์ขององค์กรในภาพรวมด้วย กล่าวคือ พลังของการเป็น ”ฝ่ายรับ” ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ไม่ใช่อยู่แค่การมีปัญหา ยังทำงานไม่ได้ดีในเรื่องนั้น แต่จะต้องเห็นว่า เรื่องนั้นเป็นงานสำคัญ มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ต่อหน่วยงานและต่อองค์กรในภาพรวมด้วย
ด้วยเหตุนี้ “แผนที่” (map) สำหรับส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จึงต้องมีข้อมูลครบทั้งองค์สาม แห่ง “สามเหลี่ยมแห่งการจัดการความรู้”
การจัดการความรู้ กับ นวัตกรรมเป็นการใช้ความรู้คนละแบบ
นวัตกรรม (innovation) กับ การจัดการความรู้ มีความเหมือนกันตรงที่ต่างก็เป็นกระบวนการใช้ความรู้ เพื่อให้เกิดมูลค่าและคุณค่า แต่กระบวนการทั้งสองมี “หัวใจ” แตกต่างกัน
“แก่น” ของนวัตกรรม คือ ความแปลกใหม่ ก้าวกระโดด หรือแตกต่างจากของเดิมหรือวิธีการเดิมอย่างมากมาย แต่การจัดการความรู้ไม่ได้เน้นที่ผลการเปลี่ยนแปลงแบบนั้น การจัดการความรู้เน้นที่การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อย แต่ทำต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง และทำในทุกหน่วยงานย่อยในองค์กร หวังผลรวมและผลทวีคูณ (synergistic effect) ของการเปลี่ยนแปลง / พัฒนาย่อยๆ เหล่านั้น จนเกิดเป็นผลที่ยิ่งใหญ่ ที่อาจจะไม่คาดฝันมาก่อน
นวัตกรรม สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยอาศัยความรู้ “ชุดใหญ่” มีเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม แต่การจัดการความรู้เน้นสร้างความสำเร็จเล็กๆ จำนวนมาก โดยอาศัยความรู้ “ชุดเล็ก” แต่มีจำนวนมากชุด โดยเป้าหมายภาพรวมไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่มีพลังแรงบันดาลใจและคุณค่าร่วมกันสูงมาก หวังว่ากระบวนการ “แลก เปลี่ยนเรียนรู้จากการพัฒนางาน” ของคนเล็กคนน้อยในหลากหลายหน่วยงานย่อยเหล่านี้ จะก่อผลยิ่งใหญ่ในลักษณะที่ไม่คาดฝัน
นวัตกรรมชิ้นหนึ่งๆ มีจุดเริ่มต้น และมีจุดสิ้นสุด แต่การจัดการความรู้เป็นกิจกรรมที่ทำต่อเนื่อง เป็นพลวัต ไม่สิ้นสุด เป็นกิจกรรมที่จะมีพลังต่อเมื่อทุกคนและทุกหน่วยงานในองค์กรทำอย่างเป็น นิสัย ทำแบบไม่รู้ตัว เป็นอัตโนมัติ
สรุป
การนำความรู้และการเรียนรู้มาสร้างคุณค่าและมูลค่า ต้องนำมาผ่านกระบวนการให้ครบทั้ง 3 มิติ (เหลี่ยม) หรือ 3 มุม คือมุมของการวิจัย ซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับวัฒนธรรมและกิจกรรมเชิงวิชาการ มุมของนวัตกรรม ซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับวัฒนธรรมและกิจกรรมเชิงธุรกิจ และมุมของการจัดการความรู้ ซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับวัฒนธรรมและกิจกรรมเชิง ของการทำงานเป็นกลุ่ม เป็นเครือข่ายที่เปิดเผยความสำเร็จ ปัญหา และความ ฝัน ระหว่างกัน
ที่สำคัญที่สุด ต้องรู้จักสร้างพลังทวีคูณ (synergy) ในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับความรู้และการเรียนรู้ 3 แบบ 3 มุม ดังกล่าว ให้ความรู้ 3 มุม ส่ง เสริมซึ่งกันและกัน เกิดคุณค่าและมูลค่าที่สูงส่งจากความรู้ เน้นการมองความรู้เป็นทั้งสสารและพลังงาน ที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ตกหลุมของมุมมองหรือวิธีคิดของต่างมุม เอามาใช้ผิดมุม เช่นไม่เอามุมมอง วิธีคิด และวิธีปฏิบัติของการวิจัยมาใช้กับการจัดการ ความรู้
จาก 3 มุม หลอมสู่มุมเดียว และไร้มุม คือเป็นทั้งหมด



ขอบคุณที่มาบทความจาก: เว็บไซด์สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)

หากคิดจะใช้เวลาชั่วชีวิตกับใครสักคนคุณควรจะแน่ใจว่าเขาคนนั้น ...

1. ควรจะเป็นคนที่คุณรู้สึกพอใจในตัวเขาในหลายๆด้าน เช่น รูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ ท่าทาง การใช้คำพูด ฯลฯ บางคนอาจเรียกว่าถูกชะตาก็ได้ ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่เห็นข้อดี ของเขาอย่างที่คุณเห็นก็ได้ 2. มีทัศนคติตรงกัน หรือพูดกันรู้เรื่อง คือไวต่อความต้องการของอีกฝ่าย พอสมควร สามารถเปิดใจคุยกันทุกเรื่อง ทั้งเรื่องลึกๆและเรื่องเล่น ๆ 3. มีความรู้สึกชื่นชมยกย่องซึ่งกันและกัน แม้ว่าจะทำงานคนละด้านหรือ มีการศึกษาที่แตกต่างกันก็ตาม 4. มีเหตุผล พูดจาปรึกษาหารือกันได้ไม่ใช้แต่อารมณ์อย่างเดียว 5. ขยัน เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะมีส่วนช่วยสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตคู่และอนาคตข้างหน้า 6. ปรารถนาดีต่อกัน หรือจริงใจต่อกัน ข้อนี้ต้องดูกันนานหน่อยค่ะกว่าจะรู้ว่าไม่ได้เสแสร้ง หรือหวังผลประโยชน์จากเรา 7. อายุก็มีความสำคัญ เพราะจะทำให้มีประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น มีความอดทน และมีความพร้อมมากขึ้น 8. มีสุขภาพกายที่ดี หมายถึงแข็งแรงและมีสุขภาพอนามัยที่ดี 9. มีสุขภาพจิตดี ปรับตัวเข้ากับคนและสิ่งแวดล้อมได้ ไม่มองโลกในแง่ร้าย 10. ควรมีพื้นฐานทางฐานะพอที่จะพึ่งตนเองได้ เพื่อที่จะได้ไม่เกิด ปัญหากับชีวิตคู่ในอนาคต 11. มีความรักต่อกัน ข้อนี้คงจะรู้กันได้ถ้าพบคนที่คุณถูกใจ 12. เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน คู่รักที่รักกันยาวนาน มักปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน แม้ในเวลาที่คุณถกเถียงกัน ก็ไม่ควรลืมว่า เขาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ การเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างจะราบรื่น แต่การเคารพความเห็นซึ่งกันและกัน จะทำให้คุณสามารถประคับประคองนาวารักของคุณไปได้ 13. มีความรู้ และความคิด เพียงพอที่จะช่วยกัน พลิกแพลงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยไม่ถอนตัวหนีหายไปไหน ข้อนี้อาจจะมองยากหน่อย แต่ก็ถือเป็นขั้นสุดของสังคมยุคนี้แล้วหละ
ที่มา : deedeejang.com เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

10 แง่คิดดีๆในชีวิตประจำวัน(10 Great Tips For Each Day)

สิบแง่คิดดีๆสำหรับชีวิตประจำวัน 1. Stay out of troubleจงหลีกห่างจากความยุ่งยาก เพราะถ้าตกลงไปแร้วมันขึ้นมาได้ยาก . 2. Aim for greater heights.มองเป้าหมายให้สูงๆหน่อย เผื่อเหนียวเอาไว้ พลาดไปเดี๋ยวเดือดร้อน 3. Stay focused on your job.ทำความชัดเจนในเป้าหมายของงานที่ทำ ผิดเป้าหมายแล้วจะเหนื่อย 4. Exercise to maintain good health.ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพ เพราะไม่มีใครช่วยเราได้ 5. Practice team work.ต้องเล่นกันเป็นทีม เพื่อเสริมพลัง 6. Rely on your trusted partner to watch your back. Take your time trusting others.ให้เพื่อนร่วมงานที่ดีคอยช่วยสังเกตุงานเราและเราก็แบ่งเวลาไปช่วยเพื่อนด้วย 7. Save for rainy days.ใช้ทรัพยากรเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ด้วยในยามฉุกเฉิน 8. Rest and relax.มีเวลาหยุดพักผ่อนและบันเทิงบ้าง ให้รางวัลกับตัวเอง 9. Always take time to smile.ยิ้มเสมอในทุกสถานะการณ์ เดี๋ยวดีเอง ANDและ 10. Realize that nothing is impossible.รู้ไว้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ This should make you smile:และนี่จะทำให้คุณยิ้มออก... THE SENILITY PRAYER : Grant me the senility to forget the people I never liked anyway, the good fortune to run into the ones I do, and the eyesight to t! ell the difference.คำอธิษฐานของผู้อาวุโส : ให้ฉันชราลงเถอะ ฉันจะได้จำคนที่ฉันไม่ชอบไม่ได้ เป็นโชคดีของฉันแล้วที่ผ่านวัยมาจนวันนี้และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิตNow,give this to a bunch of your friends if you can remember who they are!!!ส่งข้อความนี้ต่อไปให้เพื่อนๆอีก ถ้าคุณยังจำได้ว่ามีใครเป็นเพื่อน Always Remember:จำไว้เสมอว่า: You don't stop laughing because you grow old, you grow old because you stop laughing!!!คุณไม่หยุดหัวเราะเพราะคุณแก่ขึ้นแต่คุณแก่ลงเพราะคุณหยุดหัวเราะ ฮาฮา
ที่มา : วิทวัส จินดา เจ้าของบทความ : Fwd mail

จงฟังเสียงของความรัก

หลายครั้งที่เราเขินอายไม่กล้าแสดงออกซึ่งรักที่เรามีเพราะกลัวจะทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นกระดากกระเดื่อง เราลังเลที่จะพูดไปตรงๆ ว่า "ฉันรักเธอ" เราจึงพยายามสื่อความรู้สึกนี้ออกไปด้วยคำอื่น เช่น "รักษาตัวดีๆนะ" หรือ "อย่าขับรถเร็วนัก" หรือ "โชคดีนะ" แต่จริงๆแล้วมันก็เป็นแค่วิธีต่างๆ ในการพูดว่า "ฉันรักเธอ" "เธอสำคัญต่อฉัน" "ฉันสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ" "ฉันไม่อยากให้เธอบาดเจ็บ" คนเรานี้บางครั้งก็ประหลาด สิ่งเดียวที่เราอยากจะพูด และเป็นสิ่งที่ควรพูด เรากลับไม่พูดออกไป กระนั้น การที่เรารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ และอยากจะพูดออกไปมาก เป็นผลให้เราใช้คำหรือสัญญาณอื่นที่บอกว่าจริงๆแล้วเราหมายถึงอะไร แต่หลายครั้งที่ความหมายเหล่านั้นสื่อไปไม่ถึง ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ต้องการเพราะฉะนั้น เราจึงต้อง ฟังเสียงของความรัก ในคำที่ผู้อื่นพูดกับเรา บางครั้งคำพูดที่ชัดแจ้งก็จำเป็น แต่บ่อยครั้งที่อากัปกิริยาในการพูดนั้นสำคัญยิ่งกว่า คำพูดเหน็บแนมใส่ความรักและชื่นชอบไว้ในความรู้สึกซึ่งแสดงออกมาอย่างไม่จริงใจ การกอดเร็วๆ เป็นการบอกว่าฉันรักเธอ แม้ว่าคำที่พูดออกมาอาจเป็นอย่างอื่น การแสดงออกถึงความห่วงกังวลที่คนหนึ่งมีต่ออีกคนหนึ่งเป็นการบอกว่า ฉันรักเธอแต่บางครั้งก็แสดงออกมาอย่างเงอะงะ หรือแม้แต่ดุร้ายบางครั้งเราก็ต้องตั้งใจมองและฟังมากๆ เพื่อรับรู้ความรักที่อยู่ภายใน มันมักจะอยู่ใต้ผิวที่คลุมอยู่ แม่อาจจะบ่นว่าลูกชายบ่อยๆ เรื่องผลการเรียนหรือการทำความสะอาดห้อง ลูกชายอาจได้ยินแค่เสียงบ่น แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆ เขาจะได้ยินความรักซึ่งอยู่ใต้เสียงจุกจิกจู้จี้นั้น แม่ต้องการให้ลูกทำดี และประสบความสำเร็จ แต่น่าเสียดายที่ความห่วงใยและความรักลูกชายออกมาในรูปของการบ่นว่า แต่อย่างไรมันก็คือความรัก ลูกสาวกลับบ้านช้ากว่าที่อนุญาต และพ่อมาดุแรงๆ ด้วยความโกรธ ลูกสาวอาจได้ยินแค่ความโกรธ แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆ จะได้ยินความรักที่อยู่ใต้ความโกรธนั้น พ่อกำลังพูดว่า "พ่อเป็นห่วงลูก เพราะพ่อใส่ใจลูก รักลูก ลูกสำคัญต่อพ่อ"เราบอกรักด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นของขวัญวันเกิด กระดาษโน้ตใบเล็กๆ รอยยิ้ม และบางครั้งก็น้ำตาบางครั้งเราแสดงออกซึ่งความรักด้วยการนิ่งเงียบและไม่พูดอะไรเลย แต่บางครั้งก็พูดออกมา ถึงขนาดห้วนๆ ก็มีบางครั้งเราแสดงความรักโดยไม่ได้ยั้งคิดหลายครั้งเราตั้งแสดงความรักด้วยการยกโทษให้คนที่ไม่ได้ยินความรักที่เราพยายามส่งไปปัญหาในการฟังเสียงของความรักคือเราไม่ค่อยเข้าใจภาษาแห่งรักที่ผู้อื่นใช้ เด็กสาวอาจใช้น้ำตาหรือแสดงอารมณ์เพื่อบอกว่าเธออยากจะพูดอะไร แต่แฟนของเธออาจไม่เข้าใจ เพราะเขาคาดหวังให้เธอพูดภาษาเดียวกับเขา ดังนั้นเราจึงต้องบังคับตัวเองให้ตั้งใจฟังเสียงแห่งรักปัญหาใหญ่คือคนเราไม่ค่อยฟังกัน เราได้ยินคำพูด แต่เราไม่ฟังความหมายจริงๆ ของคำนั้น หรือไม่ดูการแสดงออกทางสีหน้า หรือบางครั้งเราก็ฟังเพื่อจะปฏิเสธและเข้าใจผิดเราไม่เห็นความรักที่อยู่ลึกลงไป แม้ว่าคำพูดที่ออกมาจะแสดงความโกรธก็เถอะ เราต้องฟังเสียงของความรักจากผู้คนรอบข้าง ถ้าฟังดีๆ จะพบว่าเรามีคนรักมากกว่าที่คิด ฟังเสียงของความรักเถิด แล้วเราจะพบว่าโลกนี้น่าอยู่ยิ่งนักความรักคือสิ่งที่ให้ความสุขทำให้เราหัวเราะทำให้เราร้องเพลงทำให้เราเสียใจทำให้เราร้องไห้ทำให้เราหาเหตุผลทำให้เราเป็นผู้รับทำให้เราเป็นผู้ให้นอกเหนือจากอะไรทั้งหมด ความรักทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้คนอื่นจะอยู่หรือไม่อยู่กับเราไม่ได้แตกต่างอะไรนักเพราะเราไม่เห็นต้องรู้สึกว้าเหว่แม้จะอยู่คนเดียวบางครั้งมันก็ดีที่ได้อยู่คนเดียว แต่นั่นไม่ได้ทำให้เราโดดเดี่ยว การอยู่กับใครสักคนไม่ใช่เรื่องสำคัญ การให้คนอื่นรู้ว่ามีเราอยู่ต่างหากที่สำคัญ ดังนั้น จำไว้ว่า ถ้าคุณรักใครก็บอกเขาไปเถิด พูดอย่างที่คุณต้องการ อย่ากลัวที่จะแสดงตัว ใช้โอกาสนี้บอกเขาว่าเขามีความหมายต่อคุณเพียงใด อย่าปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไปจะได้ไม่ต้องมาเสียใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือ อยู่ใกล้ๆ เพื่อนและครอบครัวของคุณ เพราะพวกเขาช่วยให้คุณเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ความแตกต่างระหว่างการแสดงความรักและการมานั่งเสียใจคือ ความเสียใจอาจจะคงอยู่ไปตลอด ถ้าคุณอยากให้คนอื่นมีความสุข จงแสดงความรัก และถ้าคุณอยากมีความสุข ก็จงแสดงความรัก เมื่ออ่านอย่าพาลซึ้งตรึงดวงจิด เพราะชีวิตมิใช่มีค่าที่น่าอ่าน แต่จงอ่านพินิจพิจารณา จึงจะมีค่าเพราะว่าอ่านข้อความใดที่ได้อ่านแล้วมีค่ามีความหมายสามารถนำมาใช้กับชิวิตได้ขอให้พิจารณาด้วยนะครับท่านๆ ทั้งหลายที่ท้อท้อยและหัวใจกำลังอ่อนล้าจะได้มีพลังขึ้นมาต่อสู้ต่อไปดีกครั้งหนึ่ง เพราะชีวิตของเรามิได้จบแค่นี้ยังต้องต่อสู้เพื่อจะได้พบความสดใสที่ปลายฟ้า
ที่มา : โต๊ะไร้สังกัดจากpa เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ

ชีวิตเล็กๆ

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า..."ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้ คงไม่ทำหรอก"แน่นอนว่าหากได้ยินคำนี้นั่นก็หมายถึงเรื่องผิดพลาดได้เกิดขึ้นแล้วและอยากที่จะแก้ไขมัน..."หากชั้นไม่รักเค้า ไม่เจอเค้าเรื่องราวก็คงไม่เป็นอย่างนี้"นี่ก็เป็นอีกคำพูดหนึ่ง...ที่เรามักจะได้ยินกันชั้นเองก็อยู่ในสถานะที่จะเอ่ยคำทั้ง 2 คำนี้ได้แต่ชั้นจะไม่เอ่ยคำเหล่านี้หรอก....เพราะ....ชั้นไม่คิดว่าเรื่องที่ชั้นได้ทำไปแล้วนั้นเป็นเรื่องผิดพลาดความรักของชั้น..... ไม่ได้ผิดพลาดแม้ว่า....ชั้นจะไม่ได้ความรักตอบกลับมาก็ตามแม้หมุนเวลาย้อนกลับไปได้...ชั้นเองก็ยังจะเลือกที่จะเดินในทางเส้นเดิมเพราะการกล้าที่จะรักใครซักคนชั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตเล็ก ๆ ของชั้นและยังเป็นบทเรียนที่สอนให้ชั้นได้รู้ว่าความรัก...ไม่ได้สวยสดงดงามตลอดเวลามันย่อมมีเวลาที่ขมขื่น และเจ็บปวดใจเช่นกันแม้ว่า...จะต้องเจอกับความเจ็บปวดแต่มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ชั้นได้รู้ว่า...ถึงเราจะเจ็บปวด...และบอบช้ำสักแค่ไหนเราก็ยังคง...ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปการตัดสินใจที่จะรักใครสักคนเป็นเรื่องสำคัญเพราะนั่นหมายความว่าเราได้เริ่มที่จะก้าวเดิน เพื่อค้นหาแล้วก็เรียนรู้ในสิ่งที่เรียกกันว่า...ความรักในตอนนี้ ชั้นสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าชั้นภูมิใจ ที่ได้รักเค้า....ผู้ชายคนนั้นแม้ว่าเค้าจะไม่ได้สูงส่งเหนือใคร...แต่...เค้าก็เป็นคนที่สอนสิ่งที่สำคัญที่สุดให้กับชั้นนั่นคือ...สอนให้ชั้นรู้จักที่จะรักคนอื่นสอนให้ชั้นรู้ว่าการรักใครซักคนนั้น ไม่ใช่เพราะเค้าเป็นใครหรืออะไรเพียงอย่างเดียวหากแต่ต้องยอมรับ และรักทั้งหมดที่ประกอบขึ้นมาเป็น...เค้าอาจจะหมายถึง....จิตวิญญาณของเค้าก็เป็นได้ชั้นเคยบอกกับเค้าว่า...ไม่ว่าเค้าจะเป็นยังไง ความรักของชั้นก็จะไม่เปลี่ยนไปไม่ว่าจะเป็น ขโมย ฆาตกร เป็นเพศเดียวกันหรือเป็นพวกที่ชอบเพศเดียวกัน ชั้นก็จะไม่มีวันเปลี่ยนไปและแม้แต่...เค้าจะไม่ได้รักชั้นและมีหัวใจรักเพื่อคนอื่น....ก็ตามทีในชีวิตของชั้น นี่เป็นเรื่องนี้เท่านั้นที่ชั้นไม่คิดว่าชั้นทำผิดพลาดไม่ว่าใครจะพูดว่าอย่างไรก็ตามการที่เราได้รักใครสักคน....จากทั้งหมดของหัวใจเป็นเรื่องที่น่าดีใจและภูมิใจ...ฤามิใช่แล้วใครเลยจะรู้ถึงความรู้สึกนั้นได้ดีไปกว่า...ผู้ที่กำลังมีความรักอย่าได้คิดว่าความผิดหวังจากความรัก...เป็นเรื่องผิดพลาดนั่นเป็นเรื่องที่ดีต่างหาก..เพื่อที่เราจะได้เติบโต และค้นหาความรักแบบอื่น ๆที่เหมาะสมกับเราต่อไป
ที่มา : PS.Nual เจ้าของบทความ : ไม่ทราบชื่อ